GAC AION พาสื่อมวลชน ทดลองขับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด AION Y Plus 490 Premium ที่อัปเกรดฟังก์ชันใหม่ 24 รายการ ภายใต้กิจกรรม Road Trip SMART CAR for Smart Living เส้นทางกรุงเทพ – เขาใหญ่ ด้วยระยะทางไปกลับ 460 กม. ช่วงล่างแน่นนุ่ม ขับสนุก ระบบความปลอดภัยจัดเต็ม
GAC AION (จีเอซี ไอออน) ได้นำคณะสื่อมวลชน และอินฟลูเอนเซอร์เดินทางไปทดสอบรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด AION Y Plus 490 Premium ภายใต้กิจกรรม Road Trip SMART CAR for Smart Living เส้นทางกรุงเทพ – เขาใหญ่ ระยะทางไปกลับรวมทั้งสิ้น 460 กิโลเมตร โดยระหว่างการเดินทางมีจุดเช็คพ้อยตามสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังภายในเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้สัมผัสสมรรถนะ และการขับขี่อัจฉริยะเต็มระบบ
สำหรับจุดแข็งของรถยนต์ไฟฟ้า AION Y Plus 490 Premium ที่สำคัญคือ ระยะฐานล้อยาวสุด 2,750 มม.ช่วยให้ห้องโดยสารกว้างขึ้น พื้นที่วางขาเบาะหลัง 1,020 มม. มากที่สุดในรถกลุ่มเดียวกัน
นอกจากนี้ยังประตูรถเปิดกว้างสุดเกือบ 90 องศาถือว่ามากที่สุดในรถกลุ่มเดียวกัน และขอบประตูราบเสมอพื้น การขึ้นลงรถได้สะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ขึ้น-ลงรถสะดวก พื้นรถเรียบซึ่งหากนั่งกัน 5 คนก็ไม่แออัด เรียกได้ว่าสมาชิกในครอบครัวสามารถนั่งได้สบายขึ้น
ขณะเดียวกันเบาะหน้าสามารถปรับแบนราบกลายเป็นเตียงขนาดใหญ่ สามารถนอนพักผ่อนสบายกว่าการนั่งทั่วไป และยังสามารถพับเบาะหลังกลายเป็นพื้นที่บรรทุกสัมภาระพื้นเรียบความจุรวม 1,200 ลิตรอีกด้วย
สำหรับฟังก์ชันใหม่ของ AION Y Plus 490 Premium ที่ได้รับการอัปเกรด 24 รายการมีดังนี้
- ระบบไฟสูงอัจฉริยะ (IHBC)
- ระบบฝาท้าย เปิด-ปิด อัจฉริยะ (Smart Tailgate)
- เบาะนั่งคนขับพร้อมระบบระบายอากาศ (Front Seat Ventilation)
- ระบบ Welcome Seat ปรับระดับที่นั่งอัตโนมัติเมื่อเปิดประตูรถ
- เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับด้วยไฟฟ้าแบบ 4 ทิศทาง
- เบาะผู้โดยสารตอนหลังพร้อมพนักพิงศีรษะ
- เบาะผู้โดยสารตอนหลังพร้อมที่พักแขน
- กระจกมองหลังแบบตัดแสงสะท้อนอัตโนมัติ
- ไฟสร้างบรรยากาศ Ambient Light 32 เฉดสี เปลี่ยนสีอัตโนมัติตามจังหวะดนตรี
- ล้อดีไซน์ใหม่ ขนาด 18 นิ้ว
- ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC S&G)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ (ICA)
- ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า (FCW)
- ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ (TJA)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องจราจร (LKA)
- ระบบกล้องมองภาพแบบพาโนรามา Panorama HD 540 องศารอบตัวรถ
- ระบบนำทางเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตออนไลน์ (Navigation System)
- ระบบสั่งการด้วยเสียง ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (Voice Command TH/EN)
- ระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charging)
- ระบบควบคุมคำสั่งรถยนต์จากระยะไกล ผ่าน Application
- สายชาร์จฉุกเฉิน Emergency Charger
- ระบบเชื่อมต่อและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอก (V2L)
ขณะเดียวกัน APPLICATION ของ AION ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ไม่ใช่แค่รู้สถานะของตัวรถ แต่ยังสามารถควบคุมด้วยคำสั่งระยะไกล ล็อครถ สตาร์ท เปิด-ปิดหน้าต่าง ไปจนถึงการเปิดปิดแอร์ ช่วยให้เจ้าของรถสามารถวางแผนการเดินทาง และเตรียมรถให้พร้อมออกเดินทางทันทีเมื่อมาถึงรถ
นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบสถานะต่างๆ ของรถผ่านฟังก์ชันการสแกนสถานะรถ ช่วยให้คุณทราบถึงสถานะ ประตูรถยนต์, หน้าต่างรถยนต์,การล๊อครถ, ฝากระโปรงหลังรถ,แรงดันแบตเตอรี่และระดับน้ำมันเบรค
เรียกได้ว่าไม่ว่าจะใกล้หรือไกล จอดไว้ที่ไหนก็หาเจอ ด้วยฟังก์ชันการระบุพิกัดของรถ พร้อมคำสั่งกระพริบไฟและส่งเสียง รวมถึงระบบแจ้งเตือนช่วยให้ทราบข้อผิดพลาดต่างๆ และแก้ไขได้ทันที ครอบคลุมถึง ระบบกันขโมย การเปิดกระจกรถยนต์ หรือเปิดท้ายรถทิ้งไว้ รวมถึงการตั้งเวลาเครื่องปรับอากาศทิ้งไว้อีกด้วย
AION Y Plus 490 ขับสนุก ช่วงล่างดี เอ็นเตอร์เทนเมนท์เริ่ด
หนึ่งในผู้ร่วมทริป Road Trip SMART CAR for Smart Living ให้ความเห็นว่า รู้สึกประทับใจที่ได้ร่วมทดสอบรถยนต์ไฟฟ้า AION Y Plus 490 Premium หลายจุด โดยเฉพาะช่วงล่างของรถ และการเก็บเสียงที่ทำได้ดีในเซกเมนต์เดียวกัน
นอกจากนี้ยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 4 แบบ Eco, Normal, Sport และ i-Pedal ถ้าชอบแบบไหนก็สามารถกดได้ทันที ส่วนระบบความปลอดภัยที่มากับรถก็ถือว่าครอบคลุม โดยเฉพาะระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน และระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องจราจร
ที่สำคัญ AION Y Plus นอกจากจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับครอบครัวแล้ว ยังเหมาะกับคนที่ชอบเดินทางออกจากต่างจังหวัดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นความสูงของตัวรถที่สามารถขับลุยได้ทุกสถานการณ์ ช่วงล่างนุ่มไม่กระด้างเมื่อเจอกับสภาพถนนที่ขรุขระ เรียกได้ว่าขับทางไกลแล้วไม่เหนื่อย
ส่วนการกักเก็บพลังงานของแบตเตอรี่ก็ถือว่าทำได้ดี จากกรุงเทพถึงที่พักเขาใหญ่ระยะทางประมาณ 240 กิโลเมตร แบตเตอรี่เหลืออยู่ประมาณ 30% ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว เนื่องจากตลอดเส้นทางมีเนินและทางลาดชันอยู่เป็นระยะๆ ขณะที่ระบบเอ็นเตอร์เทนเมนท์ภายในรถมีระบบการสั่งงานด้วยเสียงรองรับภาษาไทย และมี Wireless Charging เพียงแค่วางสมาร์ตโฟนก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ทันทีเรียกได้ว่าตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ได้ดีเลยทีเดียว